วิธีการเดินทางเมื่อเราไปเที่ยวหรือเรียนที่ต่างประเทศนั้นมีหลายวิธี แต่เมื่อพูดถึงเมืองใหญ่อย่างลอนดอนและนิวยอร์ค หนึ่งในการคมนาคมสาธารณะที่หลายคนนึกถึงต้องเป็นการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินอย่าง London Tube และ NYC subway แน่นอน

แล้วรถไฟใต้ดินของเมืองใหญ่สองเมืองนี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ทำไมมันจึงกลายมาเป็นวิธีการเดินทางหลักของคนทั้งสองเมือง มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย

London Tube

รถไฟใต้ดินลอนดอน หรือ Tube ซึ่งเรียกตามลักษณะของอุโมงค์รถไฟใต้ดิน London Tube เป็นระบบขนส่งมวลชนหลักอีกวิธีหนึ่งของกรุงลอนดอน ใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อนหลักทั้งบนดินและใต้ดิน ความพิเศษของ London Tube ก็คือ มันเป็นรถไฟใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มเปิดใช้เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1863 สายแรกที่ให้บริการคือ สาย Circle วิ่งรอบโซน 1 ชั้นในของเมือง และ สาย Hammersmith & City วิ่งจากด้านตะวันตกเฉียงใต้ไปยังด้านตะวันออกของเมือง ปัจจุบัน London Tube ให้บริการทั้งหมด 274 สถานี มี 11 สาย และผู้โดยสารเฉลี่ย 2.67 ล้านคนต่อวัน

London Tube ไม่ได้เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพราะสายรถไฟใต้ดินส่วนใหญ่จะมีทางรถไฟสองรางสวนกันเท่านั้น จึงจำเป็นต้องปิดปรับปรุงและบำรุงรักษาในช่วงกลางคืน และจะเริ่มให้บริการอีกครั้งในเวลา 04.30 น. เป็นเที่ยวแรกไปจนถึงเวลา 01.30 น.

การจำชื่อสายรถไฟอาจเป็นเรื่องชวนสับสน แนะนำว่าควรดูจากสีจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายกว่า และเราสามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์บริเวณสถานีรถไฟได้เลย

NYC subway

รถไฟใต้ดินนครนิวยอร์ก หรือ NYC subway เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1904 เป็นเครือข่ายระบบขนส่งมวลที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เปิดให้บริการ 26 เส้นทางและมีถึง 472 สถานี มีผู้ใช้บริการต่อวันประมาณ 6.4 ล้านคนในวันธรรมดา ถือเป็นการใช้งานระบบขนส่งสาธารณะที่หนาแน่นที่สุด

ระบบรถไฟใต้ดินนิวยอร์กมีความยาวของเส้นทางรวม 380 กิโลเมตร ให้บริการและมีสถานีบริการครอบคลุม 4 เขตเทศมณฑล (borough) ของนครนิวยอร์กได้แก่ แมนฮัตตัน, บรุกลิน, ควีนส์ และเดอะบร็องซ์ แต่ก็เช่นเดียวกับ London Tube คือ ถึงจะเรียกว่ารถไฟใต้ดิน แต่ก็มีทางยกระดับขึ้นมาเหนือพื้นอยู่นะคะ นอกจากนี้ NYC subway ยังมีทางอ้อมสำหรับซ่อมบำรุงรถไฟโดยเฉพาะ

และนี่ก็คือความเป็นมาและประวัติคร่าว ๆ ของระบบขนส่งสาธารณะระดับโลกอย่าง London Tube และ NYC subway ที่มีความเหมือนและแตกต่างกันในบางจุด แต่สิ่งที่มีเหมือนกันแน่ ๆ ก็คือ ทั้งสองต่างก็เป็นวิธีเดินทางที่สะดวกสำหรับคนที่อยู่ในเมืองใหญ่อย่างลอนดอนและนิวยอร์ค